fbpx

     ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำนี้ “โคโรน่าไวรัส หรือ COVID-19” ซึ่งเป็นโรคระบาดที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลก ทั้งด้านสภาวะจิตใจ เศรษฐกิจ สุขภาพและการดำเนินชีวิต

 

     คงปฏิเสธไม่ได้นะครับว่าไวรัสนี้มีผลกระทบต่อพวกเราทุกๆคนและยังไม่มีแนวโน้มในการที่จะควบคุมได้ เรียกได้ว่าอ่านข่าวอัพเดทกันทุกวันเลยทีเดียว

 

     วันนี้ Neatothailand จึงได้รวบรวมข้อมูลจากโรงพยาบาลและหน่วยงานสาธารณะสุขที่น่าเชื่อถือได้ และเป็นข้อมูลล่าสุดในเวลานี้ จัดทำเป็นบทความ “วิธีป้องกัน โคโรน่าไวรัส COVID-19” เพื่อให้อ่านเข้าใจง่าย แต่ครบถ้วนแน่นอนครับ^^ ถ้าพร้อมแล้วเราไปรู้จักไวรัสชนิดนี้กันเลยครับ

ไวรัสโคโรน่า เกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร?

     ไวรัสโคโรน่า มีชื่อทางการว่า “COVID-19” เป็นไวรัสในลำดับที่ 7 ของไวรัสตระกูล coronaviruses lineage B เป็นสายพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่ยังไม่เคยมีการตรวจพบมาก่อน เป็นเหตุให้ทั้งโลกเกิดความวิตกกังวลและหวาดกลัวต่อเชื้อไวรัสชนิดนี้ สาเหตุที่ไวรัสโคโรน่ามีการแพร่ระบาดในคนยังไม่เป็นที่แน่ชัดนัก แม้จะมีการโฟกัสไปที่ตลาดทะเลสดในอู่ฮั่นว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อแห่งแรกก็ตาม เวลาต่อมามีสมมุติฐานถึงการแพร่ระบาดที่น่าสนใจถูกตีพิมพ์อยู่ในวารสาร Lancet อยู่ 4 สมมุติฐานด้วยกัน นั่นคือ

 

1. ผู้ป่วยรายแรกมีการแสดงผลของเชื้อในวันที่ 1 ธันวาคม แสดงว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน โดยที่เขาไม่เคยไปที่อู่ฮั่นในเวลานั้นมาก่อน จึงสันนิษฐานว่ามีการแพร่ระบาดที่นอกอู่ฮั่นมาสักพักแล้ว แต่การแพร่ระบาดที่อู่ฮั่นโด่งดังกว่า จึงมีการเข้าใจว่าเผยแพร่ครั้งแรกที่นั่น

 

2. ในตลาดสดที่อู่ฮั่นมีการค้าขายค้างคาวในลักษณะขังรวมกันหลาย ๆ ตัว ซึ่งเป็นค้างคาวที่มีเชื้ออยู่แล้ว ค้างคาวจึงแพร่กระจายเชื้อไปสู่คน ผ่านทางอุจจาระ ละอองน้ำลายและเลือดจากการถูกเชือดต่อหน้าลูกค้าที่ไปซื้อของ

 

3. มีสัตว์ปีกบางชนิดหรือค้างคาว ที่มีเชื้อตัวนี้อยู่แล้วได้บินไปบินมาระหว่างตลาดสดอู่ฮั่น เมื่อปล่อยมูลกลางอากาศจึงเป็นการแพร่เชื้ออีกทางหนึ่ง

 

4. มีบ้านหลังหนึ่งในอู่ฮั่นที่ถูกตรวจพบว่า บนกระเบื้องใต้หลังคาบ้านเป็นแหล่งอยู่อาศัยของค้างคาว ที่ถูกสันนิษฐานว่ามีเชื้อ ทำให้เจ้าของบ้านติดเชื้อผ่านทางการสูดอากาศเอาเชื้อที่อยู่เหนือหัวเข้าไป รวมถึงระแวกใกล้เคียงก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

จะเกิดอะไรขึ้นหากติดไวรัสชนิดนี้

     เมื่อได้รับเชื้อไวรัสโคโรน่าเข้าสู่ร่างกาย เชื้อไวรัสจะไม่แสดงอาการอะไร เพราะมีระยะฟักตัวยาวนานถึง 14 วัน หลังจากวันที่ 14 เป็นต้นไป คนไข้จะเริ่มมีอาการคล้ายกับการเป็นไข้หวัด อุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น รู้สึกเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูกไหล รู้สึกหายใจลำบาก หากไม่รีบไปพบแพทย์อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของปอดบวมจนอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

วิธีป้องกันไวรัสโคโรน่า ที่คุณก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง

     มีหลายแนวทางที่คุณสามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อป้องกันเชื้อไวรัสโคโรน่า เพียงแต่คุณจะต้องเอาจริงเอาจัง เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่เป็นคนไข้รายต่อไป โดยวิธีการต่าง ๆ ที่ทางเราหยิบมานำเสนอก็มีอยู่ด้วยกันดังต่อไปนี้

 

1. หลีกเลี่ยงสถานที่ ๆ คนพลุกพล่าน หากมีเหตุจำเป็นจนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้จริง ๆ ให้สวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ โดยสวมให้ขอบหน้ากากแนบสนิทกับใบหน้า เพื่อไม่ให้ละอองของเชื้อโรคสามารถเข้าไปได้

 

2. ล้างมือด้วยสบู่หรือเจลล้างมือฆ่าเชื้อเป็นประจำ โดยเฉพาะก่อนการรับประทานอาหารและหลังจากกลับถึงบ้าน

 

3. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกเท่านั้น ไม่เปิบพิศดารหรือจับสัตว์ป่า เช่น งู นก หนู มารับประทาน เพราะอาจพวกมันอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

 

4. อย่าเอามือไปสัมผัสกับดวงตา จมูก ปาก บ่อย ๆ โดยไม่จำเป็น เพราะเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุ หากรู้สึกเคืองบริเวณดังกล่าว ให้ใช้ทิชชู่สำหรับเช็ดหน้า

 

5. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะสิ่งของของคนป่วย รวมถึงไม่ลืมที่จะทำความสะอาดของใช้ส่วนตัวเป็นประจำ เช่น ซักเสื้อผ้าให้บ่อย ๆ ทำความสะอาดมีดตัดเล็บ ทำความสะอาดกลอนประตู และอื่น ๆ

 

6. ดูแลตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เพื่อไม่ให้ร่างกายอ่อนแอและเสี่ยงต่อการเป็นโรคภัยไข้เจ็บ

 

7. นอกจากการป้องกันและดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากเชื้อไวรัสโคโรน่าแล้ว การมีความรับผิดชอบต่อสังคมก็สำคัญ เมื่อรู้ตัวว่ามีอาการป่วยเบื้องต้น ก็พยายามสวมใส่หน้ากากอนามัย เพื่อตอนที่ไอหรือจามจะได้ไม่แพร่เชื้อต่อ ไม่ล้อเล่นหรือแสดงท่าทีพิเรนทร์ที่ทำให้ผู้อื่นวิตกกังวลเกี่ยวกับเชื้อไวรัส สุดท้าย อย่าลืมทิ้งหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วอย่างถูกวิธี

Q & A กับ นพ.ธีระ วรธนารัตน์

Q1: การระบาดของโรคนี้เริ่มมาจากไหน?

 

A1: แม้จะมีรายงานผู้ป่วยรายแรกตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2019 แต่ก็ยังไม่มีความกังวลนัก จนกระทั่งเริ่มมีการรายงานจากหน่วยงานสาธารณสุขของเมือง Wuhan ประเทศจีน ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2019 ว่ามีผู้ป่วยที่เป็นปอดบวมจากการติดเชื้อไวรัส ถึง 27 ราย โดยมีคนอาการหนักถึง 7 ราย โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มีประวัติไปสัมผัสกับสัตว์ป่าต่าง ๆ ในตลาดขายส่งอาหารทะเลในเมือง Wuhan ซึ่งมีการขายสัตว์นานาชนิด รวมทั้งสัตว์ปีก งู ค้างคาว

 

จากการศึกษาต่อมา พบว่า ไวรัสที่ก่อเหตุคือ ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน และตั้งชื่อโดยองค์การอนามัยโลกว่า 2019-nCoV หรือ 2019 novel Coronavirus และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “COVID-19” จนถึงปัจจุบัน

 

Q2: ไวรัส COVID-19 นี้มีลักษณะอย่างไรบ้าง?

 

A2: COVID-19 นี้จัดเป็นไวรัสตัวที่ 7 ของตระกูลโคโรน่าไวรัส และสามารถติดเชื้อสู่คนได้เฉกเช่นเดียวกับไวรัสพี่ ๆ ของตระกูลนี้ เช่น เมอร์ส (MERS) และซาร์ส (SARS) ที่เคยระบาดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

 

จากการศึกษาสายพันธุกรรมของไวรัสนี้ พบว่าคล้ายคลึงกับไวรัสซาร์สถึง 70%

 

ข้อมูลที่มีอยู่บ่งชี้ว่า ไวรัสตัวนี้น่าจะมาจากค้างคาว เนื่องจากมีพันธุกรรมที่คล้ายคลึงกับโคโรน่าไวรัสในค้างคาวถึง 96% อย่างไรก็ตามคาดว่าไวรัสนี้น่าจะมีการผสมกับไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์อื่น โดยมีแหล่งรังโรคที่น่าสงสัยคือ งู ทั้งนี้ในการศึกษาต่อมา พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ไวรัสนี้น่าจะไปอาศัยอยู่ได้อีก คือ ค้างคาว และตัวมิ้งค์ โดยรูปแบบการติดเชื้อของไวรัสนี้ในค้างคาวและตัวมิ้งค์นั้นคล้ายคลึงกับการติดเชื้อในคน

 

Q3: ไวรัสนี้ติดกันง่ายไหม?

 

A3: การจะตอบว่าติดง่ายหรือไม่นั้น มักจะวัดกันด้วยจำนวนคนโดยเฉลี่ยที่ติดเชื้อจากการได้รับเชื้อจากคนที่ติดเชื้อเดิมในช่วงเวลาที่เค้าสามารถแพร่ได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Reproduction number (R0)

 

มีหลายการศึกษา ที่ทำการคาดประมาณจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสนี้ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า คนติดเชื้อคนนึงจะสามารถแพร่ไปให้คนอื่นได้ราว 2-6 คน

 

ตามทฤษฎีแล้ว ถ้า R0 น้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 มักจะไม่กังวลว่าจะเกิดการระบาดของโรค ดังนั้นไวรัสนี้จึงมีความเป็นไปได้สูงที่จะทำให้เกิดการระบาดขยายตัวไปเรื่อย ๆ หากไม่มีการควบคุมป้องกันการแพร่อย่างทันท่วงที และจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงเห็นสถิติคนติดเชื้อรายใหม่มากขึ้นเรื่อย ๆ

 

จากสถานการณ์ที่ผ่านมา พบว่าจำนวนคนติดเชื้อโดยรวมเพิ่มขึ้นถึง 2 เท่าทุกสัปดาห์

 

Q4: ติดเชื้อ COVID-19 นี้ได้อย่างไร?

 

A4: ลักษณะการแพร่เชื้อไวรัสนี้ เหมือนกับไวรัสอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ นั่นคือ ผ่านการไอ จาม มีฝอยละอองของน้ำมูกหรือเสมหะที่มีไวรัสอยู่ รวมถึงการที่ไวรัสปนเปื้อนกับมือและสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน พอคนอื่นมาสัมผัสก็มีโอกาสที่ไวรัสติดไปได้ แม้จะมีรายงานว่าพบไวรัสในอุจจาระ แต่การติดเชื้อก็จะมีโอกาสน้อยกว่า เพราะต้องเป็นสถานการณ์ที่มีการกระเด็นของน้ำอุจจาระและมีการสูดดมเข้าสู่ทางเดินหายใจ

 

Q5: ไวรัสนี้ติดเชื้อเข้าสู่ปอดได้อย่างไร?

 

A5: จากการศึกษาพบว่า ไวรัสนี้น่าจะเข้าสู่เซลล์ปอดผ่านทางตัวรับที่เรียกว่า Angiotensin-converting enzyme 2 (ACE2) receptor

 

ที่น่าสนใจคือ เซลล์ปอดของคนเอเชียมีจำนวนตัวรับนี้มากกว่าคนตะวันตกผิวขาว และคนแอฟริกัน-อเมริกัน ถึง 5 เท่า นั่นอาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสนี้ของคนเอเชียที่มากกว่าคนตะวันตก

 

Q6: โรคนี้รุนแรงไหม?

 

A6: จากข้อมูลที่มีอยู่นั้น พบว่าคนที่ติดเชื้อไวรัสนี้ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง มีเพียงประมาณ 15% ที่มีอาการรุนแรง และมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 2%

 

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลดังกล่าวนั้นยังไม่นิ่ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้จึงรู้เพียงว่า ติดค่อนข้างง่าย แม้อัตราเสียชีวิตไม่มาก แต่ต้องป้องกันอย่างจริงจัง

 

Q7: ทุกคนควรป้องกันอย่างไรดี?

 

A7: กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ ยังคงเป็นคาถาป้องกันโรคติดต่อต่าง ๆ ที่ควรนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน

 

หน้ากากอนามัยต้องใส่หรือไม่? งานวิจัยมากมายพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจควรใช้ เพราะจะป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ราว 80%

 

ส่วนคนปกติจะต้องใส่ไหม? มีงานวิจัยจำนวนหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ถ้าจะป้องกันไวรัสที่มีขนาดเล็กมาก ๆ ต้องใช้หน้ากากประเภท N95 แต่ใส่แล้วจะอึดอัด หายใจลำบาก และมีราคาแพง นอกจากนี้ยังมีปริมาณไม่มาก จึงควรเก็บไว้ใช้สำหรับสถานพยาบาลหรือสถานการณ์จำเป็น

 

ส่วนการใช้หน้ากากอนามัยสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เจ็บป่วยนั้น มีงานวิจัยเกี่ยวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นไวรัสเช่นกัน พบว่าไม่ได้ช่วยให้ลดอัตราการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ได้แนะนำให้ใช้กันในชีวิตประจำวันเพื่อหวังผลในการป้องกันไวรัส

 

วัคซีนป้องกันไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่นี้ยังไม่มี และต้องใช้เวลาในการพัฒนาอีกนานพอสมควร ดังนั้นจึงเน้นเรื่องการปฏิบัติตนเป็นหลัก

 

Q8: มีวิธีมาตรฐานในการรักษาหรือยัง?

 

A8: จนถึงตอนนี้ กลางเดือนกุมภาพันธ์ มีโครงการที่พยายามศึกษาวิธีรักษาโรคนี้ในประเทศจีนกว่า 80 โครงการ ทั้งการใช้ยาแผนปัจจุบัน และการแพทย์ทางเลือก รวมถึงในประเทศต่าง ๆ ที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคนี้ ก็กำลังศึกษากันอย่างเต็มที่ แต่ยังไม่มีการรักษาใดที่จะใช้เป็นมาตรฐานได้

 

Q9: ท้ายสุด อยากจะสื่ออะไรไว้กับทุกคน?

 

A9: “…กินของร้อน ใช้ช้อนกลาง และล้างมือ…และมีความรับผิดชอบต่อตนเองและสังคม”

 

…หากไม่สบาย ควรพักอยู่กับบ้าน ไม่ตะลอนข้างนอกหากไม่จำเป็น…

 

…หากจะไอ จะจาม ควรใช้ต้นแขนป้องปากและจมูก และใส่หน้ากากอนามัย ไม่ใช่ทำแบบที่เห็นในข่าวว่า ถอดหน้ากากออกมาเพื่อไอและจามเพราะกลัวหน้ากากเปรอะ…

 

ในยุควิกฤติเช่นนี้ ความรับผิดชอบทั้งต่อตนเองและสังคมนั้นสำคัญมากครับ

 

ด้วยรักต่อทุกคน

 

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

อ้างอิง

 

1. Cheng ZJ et al. 2019 Novel Coronavirus: where we are and what we know. Infection. 2020 Feb 18. doi: 10.1007/s15010-020-01401-y. [Epub ahead of print] Review.

 

2. Maxman A. More than 80 clinical trials launch to test coronavirus treatments. Nature. 2020 Feb;578(7795):347-348. doi: 10.1038/d41586-020-00444-3.

 

3. Watts CH et al. Coronavirus: global solutions to prevent a pandemic. Nature. 2020 Feb;578(7795):363. doi: 10.1038/d41586-020-00457-y.

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :

https://www.medicallinelab.co.th

http://www.sikarin.com

https://tmc.or.th

https://www.hfocus.org

ก็จบกันไปแล้วนะครับ กับไวรัสโคโรน่าหรือ COVID-19 ทีนี้คุณผู้อ่านก็จะรู้วิธีรับมือแล้วใช่ไหมล่ะครับ^^ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันจะยังไม่สามารถควบคุมได้ 100% นะครับ แต่คุณผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไปจนทำให้ไม่กล้าออกไปไหนหรือไม่พูดคุยกับใครนะครับ *0* แน่นอนครับ การรู้ ระวัง และป้องกันนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ต้องอยู่บนความเหมาะสมใช่ไหมครับ ^^ และที่สำคัญ ถึงแม้เราจะอยู่ในสถานการณ์แบบนี้.. เราก็จะไม่ลืมหยิบยื่นน้ำใจให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ จริงไหมครับ

 

และหากคุณผู้อ่านจะต้องดูแลตัวเองและครอบครัวมากขึ้นเพื่อให้คนที่เรารักปลอดภัยจาก COVID-19 แล้วล่ะก็…  เป็นสิ่งที่ดีมากๆเลยล่ะครับ แต่เวลาในการดูแลงานบ้านก็จะน้อยลงหรือทำได้ไม่ดีเต็มที่ใช่ไหมล่ะครับ สบายใจได้ครับ^^ ดูแลครอบครัวเต็มที่ได้เลย ส่วนเรื่องฝุ่นเรื่องความสะอาดนั้น ให้ Neato เราดูแลนะครับ รับรองว่าคุณผู้อ่านและครอบครัวจะสะดวกสบายมากขึ้น และมีเวลาเหลือสำหรับกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้น ไม่เหนื่อย สบายกายสบายใจ

 

คลิกเพื่อสอบถามโปรโมชั่นได้เลยนะครับ

เช็คโปรโมชั่น

บทความที่เกี่ยวข้อง