Google, Facebook, Apple, eBay, Adobe, Yahoo, Netflix, Neato, Oracle และอีกหลากหลายบริษัทชื่อก้องโลกทางด้าน Technology companies ซึ่งตั้งอยู่ใน Silicon Valley หุบเขาแห่งเทคโนโลยี ที่ทอดตัวอยู่ทางใต้ของ San Francisco Bay ในมลรัฐ California
และวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ Silicon Valley กันว่ามีจุดเริ่มต้นอย่างไร และอะไรทำให้หุบเขาอันแสนโมเดิร์นแห่งนี้ที่เป็นศูนย์กลางของเหล่า Startup และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลก
ที่มาของชื่อ Silicon Valley
หลายๆ คนอาจเข้าใจผิดว่า Silicon Valley เป็นชื่อเมือง แต่จริงๆ แล้ว Silicon Valley เป็นพื้นที่ที่รวมหลายเมืองในบริเวณใกล้เคียงไว้ด้วยกัน โดยเมืองที่ใหญ่ที่สุดคือ San Jose และเมืองอื่นๆ ที่ประกอบกันเป็น Silicon Valley เช่น Santa Clara, Sunnyvale, Mountain View, Menlo Park , Palo Alto โดย San Jose ยังเป็นเมืองที่มี GDP per capita หรือรายได้ต่อหัวของประชากรมากเป็นอันดับสามของโลก รองจาก Zurich และ Oslo
ชื่อ Silicon Valley เกิดขึ้นโดย Don Hoefler ผู้ที่เรียกพื้นที่ในหุบเขาแห่งนี้เป็นครั้งแรกว่า Silicon Valley ในบทความของเขาชื่อ “Silicon Valley USA” ในปี 1971 ซึ่งชื่อนี้เกิดเพราะในยุคเริ่มต้นที่นี่มีการผลิต semiconductor computer chips จำนวนมากซึ่งใช้ซิลิคอนเป็นส่วนประกอบหลัก หลังจากนั้นในช่วงต้นของปี 1980 ชื่อนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากขึ้นหลังจากการเกิดขึ้นของ IBM รวมทั้งการผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟแวร์จากหลากหลายบริษัทเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก
ความยิ่งใหญ่ของ Silicon Valley
ศูนย์รวมของความไฮเทคแห่งนี้เป็นบ้านเกิดของหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกโดยเฉพาะด้านคอมพิวเตอร์ โซเชียลมีเดีย อินเทอร์เนต ซอฟแวร์ ฮาร์ดแวร์ เส้นใยแก้ว หรือแม้กระทั่งเครื่องมือทางการแพทย์ เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของบริษัทมากกว่า 30 แห่ง ที่ติดอันดับอยู่ใน Fortune 1000 ซึ่งเป็นการจัดอันดับบริษัทในสหรัฐอเมริกาที่มีรายได้สูงสุด และหลายบริษัทเป็นผู้นำในเทคโนโลยีด้านนั้นๆ ของโลก เช่น Google เป็นผู้นำด้าน Search Engine ที่ทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น หรือ Facebook เจ้าพ่อแห่งโซเชียลมีเดียของโลก Silicon Valley ยังเป็นศูนย์รวมของ Startup หลายพันบริษัท และหนึ่งในสามของของ Venture capital หรือบริษัทที่ลงทุนใน Startup ในสหรัฐก็อยู่ใน Silicon Valley ทำให้หุบเขาที่ที่ดินราคาแสนแพงแห่งนี้เป็น Hub และเป็น Ecosystem ที่สมบูรณ์แบบ ของ Startup ในด้านนวัตกรรม IT และวิทยาศาสตร์หลายสาขา
เป็นศูนย์รวมของแรงงานคุณภาพในด้าน IT กล่าวคือมีจำนวนพนักงานด้าน IT ใน Silicon Valley กว่า 250,000 คน เรียกว่ามีความหนาแน่นและกระจุกตัวของทั้งตัวบริษัทและพนักงานด้าน IT มากที่สุดในอเมริกา ชื่อ Silicon Valley ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ American High-Technology ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล และในระดับโลกคำๆ นี้ เป็นตัวแทนของผู้นำในด้านเทคโนโลยีชั้นสูง การวิจัยและพัฒนานวัตกรรมโดยเฉพาะด้าน IT นอกจากนั้น Silicon Valley ยังมีความสำคัญด้านเศรษฐกิจต่อสหรัฐอย่างมากทั้งในแง่ของการจ้างงาน รายได้ ซึ่งตามมาด้วยรายได้จากการเก็บภาษี และมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
ทำไม Silicon Valley ถึงประสบความสำเร็จ
มีหลายเหตุผลด้วยกันที่ทำให้ Silicon Valley ประสบความสำเร็จ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
มีสถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยชั้นนำเป็นศูนย์กลาง โดยสถาบันการศึกษาที่มีผลต่อความสำเร็จของที่นี่มากที่สุดก็คือ Stanford University ซึ่งมีเป้าหมายที่ต้องการให้บริการกับสังคมอเมริกันในฝั่งตะวันตกและพัฒนามหาวิทยาลัยให้เดินทางไปในทิศทางนั้น โดยการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมในพื้นที่ ซึ่งองค์กรต่างๆ ที่อยู่โดยรอบก็ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาบริษัทด้านเทคโนโลยีชั้นสูง โดย Stanford มีส่วนอย่างมากในการพัฒนา Silicon Valley ในช่วง 50 ปีแรก หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Frederick Terman คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ของ Stanford สนับสนุนให้ทั้งอาจารย์และนักศึกษาตั้งบริษัทของตัวเอง ในปี 1951 เขาสร้าง Stanford Industrial Park (ปัจจุบันเรียกว่า Stanford Research Park) โดยมหาวิทยาลัยให้เช่าพื้นที่สำหรับบริษัทด้านไฮเทค ซึ่งมีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดบริษัทต่างๆ เช่น Hewlett-Packard, Eastman Kodak, General Electric และอีกหลากหลายบริษัท ทำให้เกิดบริษัทด้านนวัตกรรมจำนวนมากขึ้นรอบๆ มหาวิทยาลัย
นอกจาก Stanford มหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ เช่น University of California at Berkeley, San Jose State University ก็มีบทบาทสำคัญในการวิจัยและพัฒนา รวมทั้งสร้างทรัพยากรบุคคลด้านเทคโนโลยีป้อนสู่ตลาดแรงงานด้วย
พื้นฐานเทคโนโลยีจากกองทัพ San Francisco Bay Area เป็นฐานการทำวิจัยและเทคโนโลยีของกองทัพเรือสหรัฐมานานแล้ว ในปี 1909 Charles Herrold ก่อตั้งสถานีวิทยุแห่งแรกในสหรัฐที่ San Jose หลังจากนั้น Stanford ก็ขอซื้อเทคโนโลยีการกระจายเสียงคลื่นวิทยุและก่อตั้งบริษัท Federal Telegraph Corporation (FTC) ที่เมือง Palo Alto อีก 10 ปีต่อมา ก็สามารถสร้างระบบการติดต่อสื่อสารด้วยคลื่นวิทยุของโลกได้เป็นครั้งแรก
นอกจากนั้นในปี 1933 มีการตั้งฐานการบินของสหรัฐที่เมือง Sunnyvale และตั้งชื่อว่า NAS Moffett Field ทำให้มีบริษัทด้านเทคโนโลยีจำนวนมากเกิดขึ้นรอบๆ ฐานการบินเพื่อให้บริการกับกองทัพ ต่อมาฐานการบินได้ย้ายไปที่ San Diego ทำให้ NASA ใช้พื้นที่ดังกล่าวในการทำการศึกษาวิจัยด้านการบินและอวกาศ บริษัทที่เปิดขึ้นก่อนหน้ายังคงปักหลักที่เดิม และยังมีบริษัทใหม่ๆ เกิดขึ้นและทำให้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยบริษัทที่ทำการผลิตด้านเทคโนโยลีการบินและอวกาศ เช่นบริษัท Lockheed ซึ่งเป็นบริษัทที่มีจำนวนพนักงานมากที่สุดใน Silicon Valley ในช่วงปี 1950s -1980s
สปิริตของการร่วมมือ ผู้ก่อตั้งบริษัทท้องถิ่นหลายๆ บริษัทเป็นเพื่อนร่วมเรียนสถาบันการศึกษาเดียวกัน จึงทำให้เกิดการส่งเสริมซึ่งกันและกันมากกว่าการแข่งขัน รวมทั้งการสร้างเครือข่ายเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันทำให้ทั้งเครือข่ายประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
รัฐแคลิฟอร์เนียมีกฎห้ามไม่ให้บริษัทนายจ้างมีการบังคับให้พนักงานเซ็นสัญญาว่าจะไม่ทำธุรกิจแข่งกับบริษัทหลังหมดสภาพความเป็นพนักงานแล้ว นั่นทำให้ดาวเด่นที่มีความสามารถของบริษัทนั้นๆ สามารถออกไปเปิดบริษัทใหม่เพื่อพัฒนาไอเดียและธุรกิจใหม่ๆ ได้
ความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรม ปัจจุบันกว่าครึ่งหนึ่งของ Startup ใน Silicon valley ก่อตั้งโดย Immigrants ทำให้พื้นที่แห่งนี้สามารถดึงดูดคนต่างชาติที่มีความสามารถเข้ามาลงทุนเปิดบริษัทและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
Venture capital หรือบริษัทผู้ลงทุนใน Startup ดาวเด่น เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจในย่านนี้ Venture capital เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1972 และหนึ่งในดีลครั้งสำคัญคือการลงทุน $1.3 พันล้าน ให้กับบริษัท Apple Computer ในปี 1980 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Silicon Valley เป็นพื้นที่ที่มีบริษัท Venture capital หนาแน่นมากที่สุดในโลก
จะเห็นว่าความสำเร็จของ Silicon Valley จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าขาดการสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาที่มีคุณภาพและมีปรัชญาในการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสังคม พัฒนาธุรกิจและนวัตกรรมอย่างมหาวิทยาลัย Stanford
และ Neato Robotics, Inc.อึกหนึ่งบริษัทที่ตั้งอยู่ใน Silicon Valley เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมหุ่นยนต์ที่ช่วยให้ชีวิตของเราสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น Neato Robotics, Inc. ก่อตั้งบริษัทมาแล้ว 14 ปีโดยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 2005 และได้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ความสามารถด้านต่างๆ ของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นมาอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน Neato มองเห็นโลกที่บ้านทุกหลังมีหุ่นยนต์อัจฉริยะเป็นผู้ช่วยเหลือมนุษย์ในกิจกรรมอันน่าเบื่อ หุ่นยนต์ที่ชาญฉลาดและมีประโยชน์ต่อชีวิตมนุษย์
Neato D7 หุ่นยนต์ดูดฝุ่นรุ่น Top ตัวล่าสุดของ Neato Robotics, Inc.หุ่นยนต์ดูดฝุ่นที่จะทำให้คุณหลงรัก ด้วยแรงดูดที่มากกว่าหุ่นยนต์ทั่วไป ระบบการเดินที่ฉลาดกว่า แอปพลิเคชันที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานบ้านของคุณ เพื่อให้บ้านของคุณสะอาดได้ในแบบที่คุณต้องการ
ขอขอบคุณ เว็บไซต์ scb.co.th , thebalance.com และ wikipedia สำหรับข้อมูลดีๆครับ
มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวนีโต้ และรับประสบการณ์ที่ดีที่สุดของหุ่นยนต์ดูดฝุ่นด้วยกันสิครับ
สอบถามโปรโมชั่นเพิ่มเติม
คลิกส่งข้อความ หรือ LINE: @neatothailand
Line@ https://lin.ee/yY1OdBd
หรือ FB http://bit.ly/FBneatothailand