
คุณผู้อ่านรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอินเตอร์เน็ตมั้ยครับ ?
ใช่แล้วล่ะครับ อินเตอร์เน็ตที่เราเปิดใช้งานกันในมือถือทุกๆวันนี่แหละครับ ที่มีส่วนร่วมในการงานและการดำเนินชีวิตประจำวันของเราแต่ละวัน เรียกว่าตื่นมาก็จับมือถือกันก่อนนาฬิกาปลุกซะอีก *0*
กระทั่งลูกๆหลานๆของเราในบางครั้งเองก็ยังใช้งานมือถือได้คล่องแคล่วกว่าเราซะอีกจริงไหมครับ^^ ถ้าพูดง่ายๆเลยก็คือเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ในการติดต่อสื่อสาร และการทำงาน ของเราทุกคนไปแล้วนั่นเอง มีส่วนน้อยจริงๆนะครับที่ไม่รู้จักหรือไม่ได้ใช้งานอินเตอร์เน็ต (ส่วนมากเป็นสูงวัยนะครับ) หรือถ้าเป็นคนวัยเดียวกันกับเราแต่ไม่รู้จักหรือไม่ได้ใช้งานอินเตอร์เน็ตนี่ ต้องบอกว่าแปลกเลยทีเดียว
แต่คุณผู้อ่านทราบมั้ยครับว่า อินเตอร์เน็ตในยุคแรกๆนั้น …ไม่เป็นที่นิยมเหมือนทุกวันนี้นะครับ อินเตอร์เน็ตในยุคแรกๆนั้น เรียกได้ว่า เหมือน”เข็นครกขึ้นภูเขา”กันเลยทีเดียว
จริงๆแล้วทฤษฎีทางความคิดเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตนั้นเริ่มต้นในปี 1950 แล้วเริ่มมีการใช้งานจริงในปี 1960 แล้วด้วยความเร็วที่เหมือนกับเต่าคลานนั้น ^^” ทำให้อินเตอร์เน็ตไม่เป็นที่นิยมในยุคนั้นนะครับ แต่ก็ยังคงพัฒนากันมาต่อเนื่อง จนกระทั่งในปี 1996 บิล เกตส์ ได้ทำนายไว้ในเรียงความของเขาว่า อนาคต อินเตอร์เน็ตจะก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเขาได้อธิบายการพัฒนาของอินเตอร์เน็ตด้านต่างๆไว้ในเรียงความ
จนมาถึงปัจจุบันนี้ ที่เราได้เห็นกันในทุกวัน ปฏิเสธไม่ได้เลยนะครับว่าหลายๆสิ่งที่ บิล เกตส์ ทำนายไว้เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตนั้น เป็นจริงขึ้นแล้ว
คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามดูนะครับ ถ้าในช่วงที่โทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ตเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น แต่ว่า เรากลับไม่รู้จัก หรือ ใช้งานไม่เป็น …น่าจะดำเนินชีวิตลำบากเลยจริงมั้ยครับ ในทางตรงกันข้าม หากเราเป็นคนที่รู้ก่อนล่ะครับ? ไม่แน่ว่า การที่เรามีความรู้ความเข้าใจก่อนหน้าคนส่วนใหญ่นั้น อาจเป็นกุญแจไปสู่ความก้าวหน้าทางด้านต่างๆ ธุรกิจใหม่ๆ หรือกุญแจแห่งความสำเร็จ ที่เราเรียกว่า “Key Success” นั่นเอง …. ออกเสียงตามผมนะครับ “คีย์” “ซัค” “เซสสสสส”
………… ก็พอได้ผ่อนคลายกันไปนะครับ
ที่เกริ่นนำมาซะนานขนาดนี้ก็ไม่ใช่อะไรนะครับ เพราะวันนี้!! ผมมีสิ่งที่คล้ายกับอินเตอร์เน็ตในปี 1996 มาบอกเล่าให้กับคุณผู้อ่านนั่นเอง สิ่งนั้นก็คือ “5 เทคโนโลยีที่เราควรจับตามองในอนาคต” นะครับ เพราะว่า 5 เทคโนโลยีนี้ ไม่ใช่ว่ายังมาไม่ถึงนะครับ แต่มาแล้วครับ และกำลังพัฒนาเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันเช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตในยุคแรกๆนั่นเองครับ
5 เทคโนโลยีนี้มีอะไรบ้าง เรามามาดูไปพร้อมๆกันเลยครับ

1.ปัญญาประดิษฐ์หรือ ai ที่สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่องจักรกล
ถ้าพูดถึง ai หลายๆคนคงจะพอรู้จักหรือเคยได้ยินมาบ้างใช่ไหมครับ อาจจะเป็น ในโฆษณา หรือข่าวสารเกี่ยวกับ ai หรือที่เราเห็นในหนังประเภทที่ว่า หุ่นยนต์มีการพัฒนาความคิดขึ้นมาเองจนเก่งกว่าคน ซึ่งในความเป็นจริงนั้นได้เกิดขึ้นแล้วนะครับ คือ ai ที่ชื่อ Alpha go(อัลฟา โกะ) หรือ ai ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเล่นหมากล้อมญี่ปุ่นนั่นเองครับ โดย ai Alpha go นี้ก็ได้พิสูจน์ความสามารถในการแข่งขันกับแชมป์หมากล้อมญี่ปุ่นของโลกและได้รับชัยชนะไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ และในวันที่แข่งขันเองก็มีการถ่ายทอดสดโดยได้รับความสนใจจากทั่วโลกมากมายด้วยนะครับ
ในด้านการพัฒนา ai นั้นก็ได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องเลยนะครับ จนถึงขั้นที่มีการแบ่งแยกแนวความคิดออกเป็น 2 ด้านคือ แนวคิดว่า ai จะเป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์ในอนาคต หรือ Dystopia (เหมือนในหนังเลยนะครับ *0*) โดยผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็มี อีลอน มัส , บิล เกตส์ , สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง แต่อีกหนึ่งแนวความคิดที่ตรงข้ามกันคือ Utopia หรือแนวคิดที่ว่า ai กับมนุษย์สามารถอยู่ร่วมกันและช่วยกันพัฒนาได้ ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยกับความคิดนี้ก็มี มาร์ค ซักเคอร์เบิร์ก , เอริก ชมิดต์ และ เจฟ เบโซ โดยทั้งสองแนวความคิดนี้ก็มีเหตุผลที่น่าสนใจรองรับทั้งสองฝั่งเลยครับ ตรงนี้ผมเลยแนบลิ้งก์ไว้ให้ท่านผู้อ่านได้อ่านเพิ่มเติมด้วยนะครับ
ซึ่งในอนาคต ไม่ว่าแนวความคิดไหนจะถูกต้องก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราแน่นอนของทั้งสองแนวความคิดนี้ก็คือ “ปัญญาประดิษฐ์ หรือ ai นั้น จะมีส่วนร่วมกับสินค้า การบริการ และการดำเนินชีวิตของเราก่อนแน่นอนครับ” โดยปัจจุบันนี้ ai ได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงขั้นที่ว่า ไม่เพียงแต่พัฒนาตัวเอง แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่าง ai ด้วยกันเท่านั้น แต่ ยังสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเครื่องจักรกลต่างๆเพื่อพัฒนาและทำงานร่วมกันได้แล้วด้วยครับ เช่นธุรกิจรถยนต์ ธุรกิจบ้าน หรือเครื่องจักรทางการแพทย์ครับ
ไม่แน่นะครับ อนาคตเราอาจจะสามารถนั่งรถโดยไม่มีคนขับ สั่งอาหารโดยหุ่นยนต์ หรือตื่นมาพร้อมมื้อเช้าในครัวที่พร้อมทานเลย ก็เป็นได้นะครับ

2.Quantum(ควอนตัม) Computing หรือซุปเปอร์คอมพิวเตอร์นั่นเอง
เทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งนั้นก็คือพัฒนาการของคอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนั่นเองครับ แต่ความเร็วที่คอมพิวเตอร์แบบควอนตัมสามารถทำได้นั้น หากเทียบกับคอมพิวเตอร์ราคาแพงๆที่เราใช้ในปัจจุบัน ต้องบอกเลยว่า แตกต่างกันในหลักทวีคูณเลยทีเดียวครับ คุณผู้อ่านลองนึกภาพตามดูนะครับว่า ถ้าเราสร้างรหัสอีเมล์ รหัสบัญชีธนาคาร หรือรหัสส่วนตัวใดๆก็ตามที่มีความซับซ้อนเกินกว่าจะแก้ได้ คือปลอดภัยมากๆ และคอมพิวเตอร์ปัจจุบันสามารถแก้รหัสเหล่านั้นได้ในเวลาหนึ่งพันปี แต่ควอนตัมคอมพิวติ้งนั้น สามารถแก้รหัสเหล่านั้นได้ในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที !!?! ได้ยินไม่ผิดนะครับ แค่ไม่กี่นาทีเท่านั้นเอง แสดงว่าประสิทธิภาพการคำนวนของเทคโนโลยีควอนตัมนั้น เกินกว่าที่เราจะจินตนาการไปไกลมากๆเลยนะครับ ซึ่งเทคโนโลยีควอนตัมนี้ก็จะถูกนำไปใช้ในชีวิตประจำวันเช่น การคมนาคม สภาพอากาศ หรือทางการแพทย์ การเข้ารหัสต่างๆ เพราะความสามารถในการคำนวนทุกสิ่งแบบทวีคูณนั่นเอง
วารสาร MIT Technology Review ระบุว่าความเร็วของควอมตัมคอมพิวติ้งนั้นเป็นความเร็วที่ ” เกินจะจินตนาการได้ “ (Nobody has yet envisioned) และด้วยความสามารถที่สูงขนาดนี้ ทำให้ทั่วโลกให้ความสนใจซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ตัวนี้ โดยปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัมคอมพิวติ้งได้พัฒนาไปถึง 50%แล้ว และคาดการว่าจะใช้เวลาไม่นานในการพัฒนาเพื่อให้สามารถใช้งานเทคโนโลยีนี้ในชีวิตประจำวันเมื่อพัฒนาถึง 70% ขึ้นไปนั่นเอง
หรือว่า… สิ่งที่พวกเราเห็นในหนัง กำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้วนะครับนี่ *0*

3.เทคโนโลยี เวอร์ชวล เรียลลิตี้ Virtual Reality หรือ VR นั่นเอง
เทคโนโลยี VR นั้นก็คือการจำลองโลกเสมือนขึ้นมาผ่านอุปกรณ์ต่างๆนั่นเอง ส่วนมากจะมีแว่นตาพร้อมหูฟังเพื่อให้เราสามารถมองเห็นโลกเสมือนที่ถูกจำลองขึ้นผ่านสายตาของเรา เช่น หากคุณผู้อ่านต้องการจะไปบ้านผีสิงที่สวนสนุก ตอนนี้ก็ไม่ต้องแล้วครับ เพียงคุณผู้อ่านเล่นเครื่อง VR นี้ ผมรับรองได้เลยครับว่า ประสบการณ์ที่คุณผู้อ่านจะได้รับนั้น… ไม่แพ้บ้านผีสิงที่ไหนๆแน่ๆครับ
ถ้าพูดถึงเทคโนโลยี VR ผมว่าเป็นเทคโนโลยีที่ใกล้ตัวและเกิดขึ้นกับชีวิตประจำวันของเรามากที่สุดเลยล่ะครับ เพราะว่าทุกวันนี้เราไปที่ไหนก็เริ่มพบเห็นเทคโนโลยีนี้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ออกกำลัง หรือการเล่นอุปกรณ์ VR , ภาพยนต์ต่างๆ , อุปกรณ์จำลองสถานที่เสมือน เช่น รถแข่ง เครื่องบิน เรือดำน้ำ หรือ ป๊อบอัพทางการศึกษาหรือธุรกิจที่เวลาเราเอามือถือไปส่องผ่านแอพแล้วจะมีสิ่งของ 3 มิติเด้งขึ้นมาให้เห็นในมือถือ (อันนี้เรียกว่า AR นะครับ) ซึ่งในอนาคตเทคโนโลยีนี้กำลังพัฒนาเข้าสู่ชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น โดยเราอาจจะได้เห็นสื่อการเรียนการสอนที่ดีมากขึ้น เช่น นักศึกษาแพทย์สามารถจำลองการผ่าตัดด้วย VR , การหัดขับรกF1โดยใช้ VR ที่สมจริง(อันนี้มีขึ้นจริงแล้วครับ) หรือแบบจำลองบ้านที่ให้เห็นภาพหลังสร้างเสร็จด้วย VR แต่เท่าที่ผมทราบมาในอนาคตเทคโนโลยี VR นี้จะมีการผสมผสานโลกเสมือนกับโลกจริงด้วยนะครับ เป็นต้นว่าคุณผู้อ่านกำลังทำงานอยู่ตรงโต๊ะทำงาน แต่วิวข้างหน้าเห็นเป็นทะเลสวยงาม อะไรแบบนี้นะครับ
คิดๆแล้วผมว่าเทคโนโลยี VR นี้เป็นอะไรที่น่าจะเข้ามาสู่ชีวิตประจำวันของพวกเราอย่างรวดเร็วเป็นอันดับต้นๆเลยนะครับ เพราะว่าได้รับการยอมรับมากขึ้นในปัจจุบัน และก็มีสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่รองรับ ผลิตออกมาให้ผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อยๆเลยครับ แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ สนใจ VR ซักเครื่องมั้ยครับ^^

4.Blockchain (บล็อคเชน) technology
“บล็อคเชน” คำนี้บางท่านก็เคยได้ยินมาก่อนใช่ไหมครับ จริงๆแล้วเทคโนโลยีบล็อคเชนนี้เราควรเริ่มจะศึกษาเป็นอันดับแรกๆเลยล่ะครับ เพราะเกี่ยวข้องกับองค์กรต่างๆรวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ และเมื่อถึงเวลาปรับเปลี่ยนจริงๆอาจจะใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงไม่นาน และโอกาสทางธุรกิจก็จะมาถึงคนที่ปรับตัวก่อน จริงไหมครับ^^
ถ้าพูดถึงบล็อคเชน ที่ต่างประเทศเองก็เริ่มมีการนำมาใช้กับองค์กรต่างๆกันแล้วนะครับ เพราะว่าบล็อคเชนนั้นก็คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลต่างๆเป็นห้องๆเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถหยิบมาใช้ร่วมกันได้ง่าย อยากให้นึกภาพของ ธนาคาร หรือโรงพยาบาลนะครับ คือธนาคารหรือโรงพยาบาลเนี่ย ก็จะมีหลายจังหวัด และจังหวัดนึงก็จะมีอีกหลายสาขาถูกต้องมั้ยครับ ฉะนั้นแล้ว เวลาที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการ แล้วต้องมีการกรอกเอกสารอะไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องยากที่เอกสารนั้น จะไปอยู่ที่อีกสาขานึงในจังหวัดห่างไกลใช่ไหมล่ะครับ อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะสูญหาย เขียนผิด หรืออะไรก็ตามอีกมากมาย ยิ่งเป็นเอกสารที่ต้องมีการส่งไปส่งมาด้วยนะครับ โอ้โห ส่งกลับมาแก้ทีนึงช้าขึ้นเป็น 10 วันนะครับ
ตรงนี้แหละครับ ที่เทคโนโลยี บล็อคเชน จะเข้ามาแก้ไขปัญหาต่างๆให้ สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำยิ่งขึ้น ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพมากขึ้นแบบนี้นะครับ ถ้าหากว่าคุณผู้อ่านเข้าไปทำธุรกรรมการเงินที่ธนาคารหนึ่ง ธนาคารสาขานั้นก็จะบันทึกข้อมูลลงไปในระบบบล็อคเชน แล้วพอคุณผู้อ่านไปหาหมอที่โรงพยาบาล เราก็ไม่ต้องกรอกข้อมูลใหม่แล้วครับ เพราะว่าโรงพยาบาลสามารถใช้ข้อมูลที่จำเป็นจากที่ธนาคารบันทึกไว้ได้เลยครับ และข้อมูลนี้ เราสามารถใช้กับทุกหน่วยงาน ทุกสาขา ทุกจังหวัด และทุกประเทศที่อยู่ในระบบบล็อคเชนนี้ได้ บนการปกป้องข้อมูลที่มีความปลอดภัยสูงด้วยครับ เห็นไหมครับว่าเทคโนโลยีบล็อคเชนนั้น ช่วยลดเวลาและขั้นตอนต่างๆไปหลายเท่าเลยทีเดียว ทั้งยังป้องกันการสูญหายของข้อมูล และการทุจริตหรืออิทธิพลในการต่อรองต่างๆอีกด้วย
แล้วถ้าบล็อคเชนถูกนำมาใช้มากขึ้นในชีวิตประจำวันแล้วล่ะก็ คุณผู้อ่านก็สามารถปรับตัวได้ง่ายแล้วจริงไหมครับ

5.เทคโนโลยีความปลอดภัยของ iot(ไอโอที) หรือ Internet of Things(อินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์)
เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ว่านี้อาจไม่ใช่หมายถึงความปลอดภัยในการใช้งาน iot อย่างเดียวนะครับ แต่รวมไปถึงการป้องกันไวรัสต่างๆหรือป้องกันการถูกแฮคเกอร์เข้ามาควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงด้วย แต่เอ๊ะ.. เดี๋ยวก่อนนะครับ แล้ว iot นี่คืออะไรกันล่ะ?
iot(ไอโอที) หรือ Internet of Things(อินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์) นั้นก็คือสิ่งประดิษฐ์ทุกๆอย่าง ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานใดงานหนึ่ง ไม่จำกัดว่าจะเป็น เครื่องดูดฝุ่น ไปจนถึง อุปกรณ์ยกเสาเข็ม ประตูอัตโนมัติ และอีกมายมาย โดยมีสื่อกลางในการทำงานคือ อินเตอร์เน็ตนั่นเอง นั่นหมายความว่า ในอนาคตที่ใกล้มากๆนี้ผู้คนกำลังหันไปใช้ iot ในการดำเนินชีวิตมากขึ้น ทั้งในบ้าน ในอาคาร ในที่ทำงาน ขนส่งมวลชน โรงพยาบาล หรือสถานที่ต่างๆ และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น เรียกได้ว่า สะดวกสบายกันไปทุกหย่อมหญ้าเลยทีเดียวเชียว และปัจจุบันนี้ก็มีผู้ผลิต ผลิตสินค้าประเภท iot ออกมาสู่ตลาดมากมายเลยนะครับ นั่นหมายความว่า อนาคต อินเตอร์เน็ตจะเป็นสิ่งที่ทุกบ้านมี และการดำเนินชีวิตประจำวันตั้งแต่ตื่นนอน เราก็จะใช้งาน iot มากขึ้นในทุกๆครอบครัวทั่วโลก
แล้วคุณผู้อ่านลองนึกดูนะครับว่า… ถ้าหากมีคนกลุ่มหนึ่ง ที่เรียกกันว่าแฮกเกอร์ สามารถใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาแทรกแซงอุปกรณ์ iot ต่างๆในบ้านเรา ในที่ทำงานเรา หรือในสถานที่สำคัญของประเทศเรา ความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นคงคาดไม่ถึงเลยใช่ไหมล่ะครับ เพราะอุปกรณ์ iot เหล่านี้ได้เข้าไปอยู่ในทุกๆที่แล้วด้วย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมในปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีความปลอดภัยในสินค้า iot จึงเป็นที่จับตามองและมีความต้องการมากขึ้น ก็เหมือนคอมพิวเตอร์ที่ต้องมีตัวป้องกันไวรัสเลยครับ ผู้ผลิต iot เอง ก็ต้องการความปลอดภัยให้กับผู้ใช้สินค้าของเขาเช่นกัน กระซิบนิดนึงนะครับ.. สำหรับเรื่องความปลอดภัยนี้ ทางจีนเองได้พัฒนาไปในระดับที่ค่อนข้างไกลแล้วครับ คือมีระบบปฏิบัติการกลางที่สามารถใช้ร่วมกับ มือถือ คอมพิวเตอร์ และ iot ต่างๆได้ และมีการป้องกันหลายชั้นด้วยครับ
นี่แหละครับ 5 เทคโนโลยีที่กำลังจะเข้ามาในชีวิตของพวกเรา จริงๆแล้วรายละเอียดของแต่ละเทคโนโลยียังมีอีกเยอะเลยนะครับ คุณผู้อ่านสามารถอ่านในลิ้งเพิ่มเติม หรือ กดดูวีดีโอที่ผมแนบไว้ได้นะครับ แต่เทคโนโลยีเหล่านี้.. มาแน่นอนครับ เหมือนคลื่นน้ำยักษ์เลยทีเดียว แต่วันนี้เราได้อ่านกันไปบ้าง ถ้าคลื่นมาจริงๆ เราว่ายตามเลยครับ ว่ายทวนน้ำเนื้อยเหนื่อย^^
ทีนี้ผมก็อยากจะถามว่า คุณผู้อ่านละครับ อยากมีประสบการณ์การใช้งาน iot หรือ Internet of Things(อินเตอร์เน็ต ออฟ ติงส์) บ้างไหมครับ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ ก็มีสินค้ามากมายที่สามารถสั่งการทำงานผ่านระบบอินเตอร์เน็ตได้ แม้แต่หุ่นยนต์ดูดฝุ่นนีโต้เองก็จัดอยู่ในประเภทของสินค้า iot เหมือนกันนะครับ เนื่องจากว่าใช้อินเตอร์เน็ตสั่งการผ่านแอปของนีโต้ กำหนดเวลา และสั่งผ่านมือถือได้เลย คือถ้าเรานอนหลับก็สั่งให้นีโต้ทำความสะอาดได้ หรือถ้าไปต่างจังหวัด ก็ยังกดสั่งงานผ่านมือถือได้ และถ้าคุณผู้อ่านสนใจ iot ชิ้นนี้แล้วล่ะก็ สามารถคลิกด้านล่างได้เลยครับ^^
บทความที่เกี่ยวข้อง